^^

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ดอยตุง


ดอยตุง

                    พระตำหนักดอยตุงเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มี พระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ขณะเดียว กันสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เมื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่ เมื่อต้นปี พ.ศ.2530 ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีีพระราชดำริจะสร้างบ้านที่ดอยตุงพร้อมกันนี้ ยังมีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะ ปลูกป่าบนดอยสูงจึงกำเนิดเป็น โครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น โครงการพัฒนาดอยตุงเริ่มดำเนินการโดยความร่วมมือจากหน่วยราชการทุกส่วน เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน หน่วยงานด้านปกครอง นอกจากทำการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพพื้นที่แล้วยังมีการฝึกอาชีพ เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วยชาวเขาเผ่าอาข่าลาหู่ ไทยใหญ่ และจีนฮ่อ ขณะเดียว กันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนไว้



สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ
สำหรับผู้ที่มาเที่ยวพระตำหนักดอยตุง จะมีจุดที่น่าสนใจให้เยี่ยมชม 3 จุด ดังนี้ คือ
1. หอพระราชประวัติ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของพระตำหนัก
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2546 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ แปดห้อง ดังนี้
ห้องแรก แผ่นดินไทยฟ้ามืด กล่าวถึงการเสด็จถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2539
ห้องที่ 2 ฉันจะเดินทางด้วยเรือลำนี้ แสดงถึงปรัชญาในการดำเนินพระชนม์ชีพ ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผล และการสร้างสรรค์ทางศิลปะ
ห้องที่ 3 ภูมิธรรม ประมวลความสนพระทัยในหลักธรรมคำสั่งสอน
ห้องที่ 4 หนึ่งศตวรรษ เป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า และเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปีแห่งการพระราชสมภพ เมื่อปีี  พ.ศ.2443 ทั้งนี้ ทรงพระปรีชาชาญ ในการอภิบาลพระธิดา และพระโอรสที่ต่อมาได้เถลิงถวัลย ราชสมบัิติ เป็น พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งทรงนำความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของพสกนิกร จนองค์การยูเนสโก ได้ประกาศพระนามในปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก
ห้องที่ 5 เวลาเป็นของมีค่า กล่าวถึงงานฝีมือต่างๆ ของพระองค์ที่ใช้พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ
ห้องที่ 6 พระมารดาแห่งการแพทย์ชนบทและการสาธารณสุขไทย
ห้องที่ 7 พระผู้อภิบาล บรรยายถึงความเป็นพระผู้อภิบาลธรรมชาติ
ห้องที่ 8 ดอยตุงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงโครงการพัฒนาดอยตุงที่เป็นโครงการพัฒนาระยะยาว เน้นการ อนุรักษ์ธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน
2.สวนแม่ฟ้าหลวง 
             เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 เดิมมีพื้นที่ 12 ไร่ มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับ ให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู ล้อมรอบประติมากรรมชื่อ "ความต่อเนื่อง" เป็นรูปเด็กยืนต่อตัวที่กลางสวน นอกจากนี้ ยังจัดแต่งสวนหินซึ่งประดับด้วยหินภูเขากลมเกลี้ยงขนาดใหญ่ สวนน้ำอุดมด้วยไม้น้ำพันธุ์ต่างๆ บัว และสวนปาล์มที่รวบ รวมปาล์มไว้มากมายในพื้นที่ 13 ไร่ สวนแม่ฟ้าหลวงจึงมีพื้นที่ทั้งสิ้น 25 ไร่
 





3. อาคารพระตำหนักดอยตุง 
             พระตำหนักแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โดยเน้นที่ความ เรียบง่ายและการใช้ประโยชน์ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จย่าพระตำหนักยังได้ รับการอนุรักษไว้เป็น อย่างดีและ์เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชม สถาปัตยกรรมของพระตำหนักเป็นการผสมผสา ระหว่างสถาปัตย กรรมแบบล้านนา กับบ้านพื้นเมืองของสวิส สร้างบนไหล่เนิน มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตา พระตำหนักมี สองชั้น และชั้นลอยชั้นบนแยกเป็นสี่ส่วน แต่เชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังเดียว ที่โดดเด่นสะดุดตา คือ กาแลและ ไม้แกะสลัก เป็นเชิงชาย ลาย เมฆไหล ที่อ่อนช้อยโดยรอบ ภายในตำหนักล้วนใช้ไม้สน และไม้ลังที่ใส่สินค้า เป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่สวยงามจุดน่าสน ใจอีกจุดคือ เพดานดาว ภายในท้องพระโรง แกะสลักขึ้นจากไม้สนภูเขาเป็น กลุ่มดาวต่างๆ ล้อมรอบระบบสุริยะ ชมได้อย่างไม่รู้เบื่อ ส่วนบริเวณผนังเชิงบันได แกะสลักเป็นพยัญชนะไทย พร้อมภาพประกอบ สำหรับการเข้าชมข้างในพระตำหนักดอยตุง จะเปิดให้เข้าชมเป็น





4. พระธาตุดอยตุง พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำปีกุน 
             พระบรมธาตุดอยตุง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงราย ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยตุง ในเขตกิ่งอำเภอ แม่ฟ้า หลวง มีถนนแยกจากบ้านห้วยไคร้ขึ้นไปจนถึงองค์พระบรมธาตุองค์พระธาตุบรมธาตุเจดีย์ อยู่สูงจากระดับ น้ำทะเล ประมาณ 2000 เมตร  ตามตำนานมีว่า เดิมสถานที่ตั้งพระบรมธาตุดอยตุง มีชื่อว่า ดอยดินแดง อยู่บน เขาสามเส้น ของพวกลาวจก ต่อมาสมัยพระเจ้าอุชุตะราช รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์สิงหนวัต ผู้ครองนครโยนก นาคนคร เมื่อปี พ.ศ.1452 พระมหากัสสป ได้นำพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของพระรากขวัญเบื้องซ้าย (ไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้ามาถวายซึ่งตรงตามคำทำนายของพระพุทธองค์ว่าที่ดอยดินแดงแห่งนี้ ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐาน พระมหาสถูปบรรจุ ุพระบรมสารีริกธาตุ ในภายภาคหน้าพระเจ้าอุชุตะราช มีพระราชศรัทธา ได้เรียกหัวหน้าลาวจก มาเฝ้าพระราชทานทองคำจำนวนแสนกษาปณ์ ให้เป็นค่าที่ดินบริเวณดอยดินแดงแก่พวกลาวจก แล้วทรงสร้าง พระสถูปขึ้น โดยนำธง ตะขาบยาว 3000 วา ไปปักไว้บนดอยมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้ ให้กำหนดเป็นฐาน พระสถูปเพียงนั้นดอย ดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จก็ได้นำ พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุบรรจุไว้ให้คนสักการะบูชา ต่อมาสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช แห่งราชวงศ์ลาวจก พระมหาวชิระโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย จำนวนองค์ พระเจ้าเม็งรายจึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระ สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นอีกองค์หนึ่ง เหมือนกับพระสถูปองค์เดิมทุกประการ ตั้งคู่กัน ดังปรากฎอยู่จน ถึงทุกวันนี้ ชาวเชียงรายมีประเพณีการเดิน ขึ้นดอยบูชาพระธาตุ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี
สิ่งที่น่าสนใจ :
พระธาตุดอยตุง เป็นเจดีย์สีทองขนาดเล็กสององค์ สูงประมาณ 5 ม. บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซุ้มจระนำสี่ทิศ องค์ระฆังและปลียอดมีขนาดเล็ก พระธาตุดอยตุง อยู่บนดอยสูงแวดล้อมด้วยป่ารกครึ้ม เรียกว่า สวนเทพารักษ์ เชื่อกันว่า เป็นที่สถิตของเทพารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รอยปักตุง เป็นรอยแยกบนพื้น ยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ด้านหน้าพระธาตุ เชื่อกันว่า เป็นรอยแยกที่ใช้ปักฐานตุง บูชาพระธาตุ เมื่อ 1,000 ปีก่อน





การเข้าชมพระตำหนักดอยตุง 
- สามารถสอบถามรายละเอียดๆได้ที่  โทร.053-767-001 ,053-767-015-7 และ เว็บไซต์ http://www.doitung.orgเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 07.30 - 17.30 น.
- ค่าธรรมเนียมเข้าชมพระตำหนัก 70 บาท ชมสวนแม่ฟ้าหลวง 80 บาท หอพระราชประวัติ 30 บาท บัตรรวมเข้าชม ทั้งสามที่ 150 บาท
- มีร้านอาหารของโครงการ ร้านกาแฟดอยตุง ร้านจำหน่ายของที่ระลึก

การเดินทางไปดอยตุง
1. รถยนต์ส่วนตัว
             ใช้ทางขึ้นดอยตุงสายใหม่ ผ่านบ้านไทยใหญ่ร่มไทร กม.2 ผ่านจุดชมวิว กม.12 จากนั้นเลี้ยวซ้ายระหว่างหลัก กม.12 และ 13 ไปอีก 2 กม. จะถึงพระตำหนัก ระยะทาง 15 กม. หรือใช้ทางขึ้นสายเก่า โดยขับเลยแยกบ้านสันกองราว 1 กม. เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1149 ที่บ้านห้วยไคร้ ระหว่างหลัก กม.871-872 เป็นทางขึ้นดอยตุงสายเก่า เส้นทางสูงชันกว่าสายใหม่ แต่ระยะทางสั้นกว่าเล็กน้อย ถนนจะไปบรรจบกับทางขึ้นสายใหม่ใกล้ กม.
การเดินทางไปพระธาตุดอยตุง
            ใช้ทางขึ้นดอยตุงสายใหม่ เมื่อผ่นทางแยกซ้ายไปพระตำหนักดอยตุง ถึงหลัก กม.14 จะมีทางแยกซ้ายถ้าขับ ตรงไปจะขึ้นตรงสู่พระธาตุดอยตุง ทางค่อนข้างแคบและชันมาก ระยะทาง 3 กม. ถ้าไปทางแยกซ้าย มือ จะเป็น ทางอ้อม ผ่านสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าดอยตุง ทางแยกไปดอยช้างมูบ อ.แม่สาย และวัดน้อยดอยตุง ตรงหลัก กม.23 ระยะทาง 10 กม. จากวัดน้อยดอยตุง ต้องขับขึ้นดอยไปตามทางชัน แคบและคดเคี้ยว อีก 1 กม. บริเวณนี้ เรียกว่าสวนเทพารักษ์ ต้องขับด้วยความระมัดระวังเพราะอาจมีรถสวนลงมาได้
2. รถโดยสารประจำทาง
            จาก อ. เมืองเชียงรายนั่งรถสายเชียงราย-แม่สาย  ไปลงที่บ้านห้วยไคร้ เพื่อต่อรถสองแถวสีม่วงขึ้นไปดอยตุงที่ สถานี ขนส่งท่องเที่ยวดอยตุง โทร.053-667-433 ค่าเช่าเหมา 750 บาท (ไปกลับ) นั่งได้ 12 คน หรือค่าโดยสาร คนละ 60 บาท ครบ 12 คน รถออก รถสองแถวจะพาไปยังพระธาตุดอยตุง ตลาดสินค้าพื้นเมืองชาวเขา หน้าศูนย์ วิจัยพืชไร่ ใกล้อ่างเก็บน้ำ และพระตำหนักดอยตุง ใช้เวลาเดินทางและพาเที่ยว 3 ชม. เข้าชมพระตำหนัก 70 บาท ชมสวนแม่ฟ้าหลวง 80 บาท หอพระราชประวัติ 30 บาท บัตรรวมเข้าชมทั้งสามที่ 150 บาท
ที่พักดอยตุง
- ดอยตุง ลอดจ์ หรือ บ้านต้นน้ำดอยตุง31 อยู่ในบริเวณพระตำหนักดอยตุง โทร 0 5376 7015-7
- เรือนวิว รีสอร์ท http://www.ruenviewresort.com
สำหรับสถานที่พักแรมบนดอยตุงจะมีไม่มากนักค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะพักในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ ใกล้เคียง เช่น แม่สาย ,ดอยแม่สลอง หรือว่าอาจจะกลับมาพักในอ. เมือง ต่อค่ะ คลิ๊กเพื่อดูที่พักในเชียงราย


ที่มา  http://www.paiduaykan.com/76_province/north/chiangrai/doitung.html

        http://www.youtube.com/watch?v=-6-an7xbPmM

ทุ่งดอกบัวตองดอยหัวแม่คำ

ทุ่งดอกบัวตองดอยหัวแม่คำ

                    ทุ่งดอกบัวตองดอยหัวแม่คำตั้งอยู่ที่ หมู่ 4 ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง ห่างจากบ้านเทอดไทย 35 กม.เป็น หมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ตั้งอยู่บนสันเขา ตะเข็บชายแดนไทย-พม่า มีทิวทัศน์สวยงาม พื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ ใน เขตวนอุทยานดอยหัวแม่คเมื่อลมหนาวมาเยือนทุ่งดอกไม้สีทองเหลืองอร่าม ทุ่งดอกบัวตอง ก็เริมบานสะพรั่ง งดงามไปทั่วทั้งขุนเขาเหนือดอยสูง ใครจะเชื่อว่าที่ดอยหัวแม่คำนี้ ยังมีชีวิตที่งดงาม แบบง่ายๆ และสงบเป็นสีสัน ที่เบ่งสี อวดสวยคู่ไปกับบัวตอง อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ณ. ที่แห่งนี้ ทุ่งดอกบัวตอง ดอยหัวแม่คำในขณะที่ ดอยแม่อูคอของแม่ฮ่องสอน,uชื่อเสียงในความสวยงามของดอกบัวตอง ที่เชียงรายเองก็มี ดอยหัวแม่คำ ซึ่งจะบานไล่เลี่ยกับที่ดอยแม่อูคอแม่ฮ่องสอนในเดือนพฤศจิกายนอาจจะล่าช้ากว่าบ้าง ดอกบัวตอง นี้มีมากมาย ขึ้นสลับกันระหว่างบ้านชาวเขา มีอาณาเขตบริเวณกว้างความสวยงามยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อมาชมยามพระอาทิตย์ขึ้น จากขอบฟ้า ส่องแดดสีอ่อน ผ่านไอหมอกอบอวลในหุบเขายังมีกลุ่มทะเลหมอกไกลคลอเคลียและยังสามารถ ขับรถตามสันเขาเพื่อชมดอกบัวตองได้โดยสะดวกที่มีดอกบัวตองบานสะพรั่งไปทั้งดอยสลับแซมกับหมู่บ้านชาวเขา ที่อาศัยอยู่กับดอกบัวตองนี้อย่างกลมกลืนดูสวยงามจนได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน Unseen Thailand


                            ดอกบัวตองบานเพียงปีละครั้ง โดยจะเริ่มบานในช่วง ต้นเดือน พ.ย. เป็นต้นไป และจะเริ่มบานเต็มที่สวยงามใน ช่วงกลางเดือน พ.ย. ในนี้จะมีการจัดงานเทศกาลดอยบัวตองบาน ณ ดอยหัวแม่คำ ซึ่งจะคึกคักเป็นพิเศษ ซึ่งชาวเขาจะแต่งชุดประจำเผ่าที่สวยงาม รวมทั้งมีการแสดงของ เผ่าต่างๆ ด้วย หากพ้นช่วงเทศกาลไปแล้วจะ ค่อนข้างเงียบเล็กน้อยประมาณปลายเดือนพ.ย.ดอกบัวตองก็จะเริ่มโรยรา

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนดอยหัวแม่คำ
1.หมู่บ้านหัวแม่คำ
เสน่ห์ของดอยหัวแม่คำก็คือการที่หมู่บ้านชาวเขาอยู่สลับกับท้องทุ่งดอกบัวตอง สามารถเดินเที่ยวชมวิถีชีวิตได้ มีทั้งชาวม้ง ลีซอ และอาข่า อยู่รวมกัน โดยยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและเอกลักษณ์ของตนไว้อย่าง เหนียวแน่นระหว่างเดือน ธ.ค.-ม.ค. จะตรงกับการจัดงานปีใหม่ของแต่ละเผ่าชาวเขาจะแต่งชุดประจำเผ่าที่ี่สวยงาม
  


2.วนอุทยานดอยหัวแม่คำ 
ซึ่งเป็นที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 1300 เมตรอยู่ห่างจากหมู่บ้านหัวแม่คำไปประมาณ 1.6 ก.ม. เป็นจุดชมวิวสูงสุด ของดอยหัวแม่คำ  เป็นจุดชมวิวที่มีทิวทัศน์สวยงามเป็นวิวภูเขาสูงสลับซับซ้อนเรียงรายกัน สวยงามมากในช่วงเช้าสามารถเห็นทะเลหมอกไปปกคลุมอยู่ทั่วภูเขา

3.สถานีพัฒนาเกษตรที่สูงดอยหัวแม่คำ
4.น้ำตกหัวแม่คำใหญ่
อยู่สุดปลายเส้นทาง ห่างจากบ้านหัวแม่คำไปเล็กน้อย เป็นพื้นที่รับผิดชอบของวนอุทยานหัวคำเส้นทางช่วงนี้ค่อน ข้างชัน ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ น้ำตกหัวแม่คำต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 200 ม. เป็นน้ำตกขนาดกลาง สายน้ำไหลลดหลั่นลงมาจากหน้าผาสูงประมาณ 20 ม. น้ำเย็นจัด เป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในละแวก ดอยหัวแม่คำ
การเดินทางไปทุ่งดอกบัวตองดอยหัวแม่คำ
1. รถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพเข้าตัวเมืองเชียงราย เข้าทางหลวงหมายเลข 1 จนถึงตัวเมืองเชียงราย และเข้าทางหลวงหมายเลข 110สู่ อ. แม่จัน จากนั้นเลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1130 ตรงทางแยกขึ้นดอยแม่สลองผ่านบ้านบางปูเลย บ้านสันติคีรีเมื่อพ้นเขตบ้านแม่สลองในไปแล้ว เส้นทางจะเ็ป็นลูกรัง เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1234 ผ่านทางแยก แม่สลอง -บ้านเทอดไทยเลี้ยวซ้ายเข้าแยกบ้านเทอดไทย เมื่อถึงสามแยกอีก้อให้เลี้ยวเข้าบ้านห้วยอิ้ินจาก บ้านเทอดไทยขับตามทางไปเรื่อยๆระหว่างทางในช่วง 25 กม. แรก เป็นถนนลาดยาง แต่เป็นหลุมบ่อ และคดเคี้ยว ขึ้นดอย จนถึงบ้านปางมะหันถนนเป็นลูกรังอัดแน่นอีก 10 กม. เส้นทางสูงชันและลื่นมากในหน้าฝน ช่วง 1.6 กม. สุดท้ายไปยังที่ทำการวนอุทยานดอยหัวแม่คำถนนชัน หากนำรถส่วนตัวมาต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น
2. รถโดยสารประจำทาง
ขาไปดอยหัวแม่คำ
เชียงราย-บ้านป่าซาง
จากตัวเมืองเชียงรายนั่งรถประจำทางสายเชียงราย - แม่สาย มาลง ที่บ้าน ป่าซาง ค่ารถคนละ 18 บาท
จากนั้น ต้องนั่งรถสองแถว 2 ต่อ คือ
บ้านป่าซา-บ้านเทอดไทย
ใช้บริการรถสองแถวสีฟ้าสายป่าซาง-เทอดไทย ท่ารถอยู่ที่บ้านป่าซาง มีรถตั้งแต่ 08.00-17.00 น.ค่ารถ 60 บาทแต่ต้องรอให้ผู้โดยสารครบจึงจะสามารถออกออกเดินทางได้ ซึ่งต้องรอนานมากหากไม่ช่วงเทศกาล ท่องเที่ยว หากต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เหมารถไปบ้านเทอดไทย ราคาจะอยู่ประมาณ 500 บาท/ เที่ยว แ้ล้วแต่ตกลง 
 บ้านเทอดไทย-ดอยหัวแม่คำ
เมื่อมาถึงบ้านเทอดไทยแล้วจากนั้นต้องเช่าเหมารถสองแถวไปดอยหัวแม่คำ ค่าเช่าประมาณ 600 บาท / เที่ยว
แ้ล้วแต่ตกลง

***เบอร์โทรรถสองแถว 085-709-2514,086-185-7911 (คุณสุรัตน์) ,เนตรบริการรถนำเืัที่ยว 086-189-7347 
ขากลับจากดอยหัวแม่คำ
ในกรณีเหมารถสามารถนัดรถสองแถวมารับโดยนัดเวลากันได้ แต่หากไม่ต้องการเหมาีรถ จะมีรถของชาวบ้านที่จะ ลงมาจากดอยหัวแม่คำทุกวัน ประมาณ 8 โมงเช้า ค่ารถประมาณ 60 บาท โดยสามารถมาลงรถที่บ้านเทอดไทย แล้วต่อ รถไปยังจุดหมายต่อไปของการเดินทา


ขุนช่างเคี่ยน


ขุนช่างเคี่ยน

                        ขุนช่างเคี่ยน หรือสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่   ตั้งอยู่ใน เส้นทาง เดียวกับพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิวเศน์ และบ้านม้งดอยปุย สถานีเกษตรที่สูง ขุนช่างเคี่ยนเป็น 1 สถานี เกษตรฯ ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถานีวิจัยเกี่ยวกับ เมล็ด พันธุ์กาแฟ  ไม้ผลเมืองหนาว เช่น ท้อ พลับ บ๊วย พลัม อะโวกาโด มะคาเดเมีย และไม้ผลกึ่งร้อน ได้แก่ ลิ้นจี่ และในทุกๆปีของหน้าหนาวช่วงปลายธ.ค-ม.ค. แต่ในเนื่องการหลังๆ อากาศ เริ่ม แปรปรวนไป ก่อนเดินทางต้องโทรสอบถามไปอีกครั้งว่าบานแล้วหรือยัง ต้นนางพญาเสือโคร่งหรือที่เรียกกันว่าซากุระเมืองไทย สีชมพู สดจะบานสะพรั่งอวดความงามไปทั่วบริเวณ สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูง ขุนช่างเคี่ยน หมู่บ้านชาวม้ง บ้าน ขุนช่างเคี่ยนเต็มไปด้วยสีชมพูของ ต้นนางพญาเสือโคร่งขึ้นอยู่มาก ทั้งตามข้างทางถึงในหมู่บ้าน

                           อัพเดพพญาเสือโคร่งแม่จอนหลวงปี 2555 ตอนนเริ่มบานแล้วแต่ยังไม่บานเต็มที่ ตั้งแต่ช่วงวันที่ 6 ม.ค 55 และคาดว่าบานเต็มที่ และมีเยอะในช่วงกลางเดือนมกราคมไปจนถึงสิ้นและจะเริ่มโรยค่ะ



                            ต้นนางพญาเสือโคร่งหรือซากุระเมืองไทยที่ขุนช่างเคี่ยนนั้นมีลักษณะเป็น ดงอยู่รวมกัน สีของซากุระนั้นบาน เป็นสีชมพูสดใส แถมบางช่วงซากุระยังบานแทรกตัวอยู่ในหมู่บ้าน ตามบ้านเรือน ดูแล้วมีชีวิตชีวาน่ายลยิ่งนักซึ่ง นักท่องเที่ยวสามารถมากางเต็นท์ได้ทั้ง ที่หน่วยดอยปุยและบริเวณสถานีเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยนก็ได้เช่นกัน
ขุนช่างเคี่ยนถือเป็นแหล่งชม ดอกพญาเสือโคร่งที่  ที่อยู่ใกล้เมืองเชียงใหม่มากที่สุด ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่อง เที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปีเพราะดงดอกซากุระดอย ที่ขุนช่างเคี่ยนมีความสวยงามไม่แพ้ใครดอกซากุระ (นางพญาเสือโคร่ง) จะบาน เฉพาะฤดูหนาว ช่วงระหว่างปลายเดือนธันวาคม - ต้นเดือนมกราคมเท่านั้นซึ่งจะบาน ในระยะเวลาไม่นานดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลก่อนการเดินทางแล่วงเวลาที่ดอกพญาเสือ โคร่งบานก่อนออกเดิน ทางนอกจากได้ชมดอกซากุระ เมืองไทยแล้ว ที่นี่ยังมีดอกท้อ สีขาวบริสุทธิ์ที่อวดดอกออกช่อ แข่งกับดอกนาง พญาเสือโคร่ง อย่างไม่ขัดเขิน



                            สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน จะมีห้องพักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แต่ที่พักมีจำนวนจำกัด นักท่องเที่ยวที่จะเข้าพักหากสนใจที่จะติดต่อห้องพักกรุณาโทรไปสอบถามก่อนล่วงหน้า


ที่พักขุนช่างเคี่ยน
                    บ้านพักทรงเอเฟรมไว้ทั้งสิ้น 3 หลัง สามารถพักอาศัยได้เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เกิน 15 คน ภายในเป็นห้องกว้างสำหรับ พักรวม มี 2 ชั้น ชั้นบนสามารถจุคนได้ประมาณ 4-6 คน ส่วนชั้นล่างจุได้ประมาณ 8-12 คน มีที่นอน หมอนและ ผ้าห่ม ห้องน้ำ-สุขา อยู่ภายใน มีห้องครัว สำหรับจัดเตรียม อาหารขนาดเล็ก พร้อมเตาแก๊ส และ อุปกรณ์หุงต้ม ที่จำเป็น ในฤดูหนาว สามารถจุดเตาผิงภายใน เพื่อสร้างความ อบอุ่นได้ ในระหว่างพักอาศัย ผู้พัก อาศัยสามารถ ชมทัศนียภาพโดยรอบสถานี และมีบริเวณโดยรอบระเบียงสำหรับสังสรรค์ได้ตามสมควร

อัตราค่าบำรุงสถานที่ 
นักศึกษา (คนละ) 30 บาท
บุคคลทั่วไป 60 บาท
หมู่คณะ 600 บาท
ผู้สนใจสามารถติดต่อที่พักและชำระเงินได้ที่ โทร. 053-944053 หรือ 053-222014 ก่อนวันเข้าพักอาศัย (ในวันและเวลาราชการ) เบอร์โทร สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน คุณศรีนวล 086-1837161
ภาพขุนช่างเคี่ยน







เรื่องราวและบทความที่เกี่ยวข้อง
เมื่อดอกสีชมพูบานอวดโฉมแข่งกัน ขุนช่างเคี่ยน
เมื่อดอกสีชมพูบานอวดโฉม ที่ขุนแม่ยะ
การเดินทางไปขุนช่างเคี่ยน
1.รถยนต์ส่วนตัว
               เส้นทางการเดินทางไปยังขุนช่างเคี่ยนนั้น เราจะใช้เส้นทางเดียวกับการไปดอยสุเทพและหมู่บ้านแม้วดอยปุย ช่วงทางระหว่างเชียงใหม่ถึงบ้านแม้วดอยปุยจะลาดยางเดินทางได้สะดวกค่ะ หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน จะอยู่ทาง ทิศเหนือของ ยอดดอยปุย ห่างจากพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ประมาณ 8 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 32 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายเชียงใหม่ - พระธาตุดอยสุเทพ ลักษณะถนนจากเมืองเชียงใหม่ถึง พระตำหนักฯ ลาดยางเป็นระยะ ทางประมาณ 12 กิโลเมตร จากนั้นเป็นถนนโรยกรวดขนาดเล็กจาก พระตำหนัก ไปถึงยอดดอยปุยอีกประมาณ 4 กิโลเมตร และเป็นถนนดินที่มีผิวทางค่อนข้างชำรุดจากยอดดอยปุยไปทาง หมู่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยนอีกประมาณ 4 กิโลเมตร
2.รถโดยสารสาธารณะ 
           การเดินทางมาขุนช่างเคี่ยนอย่างที่บอกค่ะ ถ้าไม่มีรถส่วนตัว ก็ต้องเหมาสองแถว เพราะที่นี่อยู่นอกเหนือเส้นทาง วิ่ง ของรถ ปกติรถสองแถวบริวเวณปากทางขึ้นพระธาตุจะพานักท่องเที่ยวไป 3 จุด คือ พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ และบ้านม้งดอยปุย ส่วนขุนช่างเคี่ยน เลยจากบ้านม้งดอยปุยไปเยอะเหมือนกันทางเป็นทาง ชันแคบดินลูกรัง หากใครต้องการขึ้นมาโดยไม่มีรถส่วนตัว มีหลายทางเลือก คือ
-เหมารถตรงปากทางขึ้นก ็แพงมาก แต่ถ้ามาหลายคนก้ค่าใช้จ่ายน้อยลง แนะนำว่าให้นั่งรถสองแถวไปลง บ้านม้งก่อน แล้วเหมาจากที่นั้นขึ้นไปน่าจะถูกกว่า
- รอให้นักท่องเที่ยวนั่งเต็มคันซึ่งก็นานอีก

- เช่ามอเตอร์ไซต์ขับขึ้นไปเองแต่อันตรายพอสมควร ต้องขับรถชำนาญ


ที่มา  http://www.paiduaykan.com/76_province/north/chiangmai/khunchangkain.html

         http://www.youtube.com/watch?v=h_AVe4J_tK0


วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร


วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร


                  วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาทห่างจากตัวเมืองจังหวัดประมาณ 28 กิโลเมตร มีทางเลี้ยวซ้ายก่อนถึงอำเภอพระพุทธบาทเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ 2167 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ปูชนียสถานที่สำคัญคือ " รอยพระพุทธบาทที่ ประทับไว้บนแผ่นดินเหนือไหล่เขาสุวรรณบรรพต หรือเขาสัจจพันธคีรีรอยพระพุทธบาทมีความกว้าง 21 นิ้ว ยาว 60 นิ้ว ลึก 11 นิ้ว ค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม พระองค์ทรงเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทตามลักษณะ 108 ประการ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปชั่วคราว ครอบรอยพระพุทธบาทไว้ ต่อมาได้มีการสร้างต่อเติมกันอีกหลาย สมัย และยังพบรอยจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ที่ก้อนหินขนาดใหญ่ สูงจากพื้น 160 เซนติเมตร เมื่อครั้นเสด็จ นมัสการรอยพระพุทธบาท



                     ลักษณะของพระมณฑป เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบเครื่องยอดรูปปราสาท 7 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบ สีเขียว มีซุ้มบันแถลงประดับทุกชั้น มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองประดับกระจกโดยรอบฝาผนัง ด้านนอกปิดทอง ประดับกระจกเป็นรูปเทพพนม พุ่มข้าวบิณฑ์บานประตูพระมณฑปเป็นงานศิลปกรรม ประดับมุกชั้นเยี่ยม ของ เมืองไทย พื้นภายในปูด้วยเสื่อเงินสาน ทางขึ้นพระมณฑปเป็นบันไดนาคสามสายซึ่งหมายถึง บันไดเงิน บันได ทอง และบันไดแก้ว ที่ทอดลงจากสวรรค์หัวนาคที่เชิงบันไดหล่อด้วยทองสำริด เป็นนาค 5 เศียร บริเวณรอบ พระมณฑปมีระฆังแขวนเรียงราย เพื่อให้ผู้ที่มานมัสการได้ตีแผ่ส่วนกุศลแก่เพื่อนทั้งหลาย ส่วนพระอุโบสถ และพระวิหารต่างๆ ที่อยู่รายรอบ ล้วนสร้างตามแบบศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา และตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์
          รอยพระพุทธบาท


พระอุโบสถที่ตั้งของรอยพระพุทธบาท





                        นอกจากนี้ ในบริเวณวัดยังมี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธบาท ( วิหารหลวง ) ซึ่งเป็นเก็บรวบรวม ศิลปวัตถุ อันมีค่า อาทิ เครื่องทรงสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เครื่องลายครามสังคโลก เครื่องทองสำริดโบราณ ศาสตราวุธ โบราณ รอยพระพุทธบาทจำลอง ยอดมณฑปพระพุทธบาทเก่าพัดยศของพระสมัยต่างๆ และท่อ ประปาสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช วิหารหลวงจะเปิดให้ชมเฉพาะช่วงที่มีงานเทศกาลนมัสการพระพุทธบาท ซึ่งปกติ จัดให้มีปีละ 2 ครั้ง คือ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 จนถึงแรม 1 ค่ำ และขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 จนถึงแรม 1 ค่ำ และงาน ประเพณีตักบาตรดอกไม้ซึ่งเป็นประจำทุกปี ในวันเข้าพรรษา ตรงกับวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 (ประมาณเดือน กรกฎาคม) โดยจะมีการทำบุญตักบาตรด้วยข้าวสุกที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร และจะไปเก็บดอกไม้ที่ ชาวบ้านเรียกว่าดอกเข้าพรรษา เพราะมีเฉพาะในเดือน 8 เท่านั้น เพื่อนำไปตักบาตรในตอนบ่ายของวันเดียวกัน ความเชื่อและวิธีการบูชา ตามคติของคนโบราณกล่าวไว้ว่าหากได้มานมัสการรอยพระพุทธบาทนี้ครบถึง 7 ครั้ง จะได้ไปจุติในสรวงสวรรค์ แม้แต่ในชาติภพนี้ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตมีความสำเร็จสมหวังในทุกประการ




รายละเอียดเพิ่มเติม
           อัตราค่าเข้าชม คนไทย ไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างประเทศ คนละ 30 บาท เปิดให้สักการะทุกวันตั้งแต่เวลา
06.00-18.00 น.


ประวัติพระพุทธบาท
                 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่า มีพระภิกษุสงฆ์ชาวไทยคณะหนึ่ง เดินทางไป ยังลังกาทวีป ด้วยหวังจะสักการบูชาพระพุทธบาท ณ เขาสุมนกูฏ การไปคราวนั้น เป็นเวลาที่พระสงฆ์ชาวลังกา ทวีปกำลังสอบประวัติ และที่ตั้งแห่งรอยพระพุทธบาททั้งปวงตามที่ปรากฏอยู่ในตำนานว่ามีเพียง 5 แห่ง ภาย หลังสืบ ได้ความว่าภูเขาที่ชื่อว่า สุวรรณบรรพตมีอยู่ในสยามประเทศ ครั้นเมื่อได้พบกับพระภิกษุสงฆ์ชาวไทย ในคราวนั้น ต่างพากันสอบถามว่ารอยพระพุทธบาท ที่มีอยู่ 5 แห่ง ในสถานที่ต่างๆ กันนั้น ปรากฏว่ามีที่ เขาสุวรรณบรรพตแห่ง 1 ก็ภูเขาลูกนี้อยู่ในประเทศไทย แต่ไม่พยายามสืบไปนมัสการ กลับพากันไปลังกาทวีป เมื่อพระภิกษุสงฆ์ไทยคณะนั้นได้รับคำบอกเล่า เมื่อกลับมาสู่ประเทศไทย จึงนำความขึ้นถวายสมเด็จ พระเจ้า ทรงธรรม พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราสั่งบรรดาหัวเมืองทั้งปวง ให้เที่ยวตรวจตราค้นดูตามภูเขาต่างๆ ว่าจะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ณ ที่แห่งใด ครั้งนั้น เจ้าเมืองสระบุรี สืบได้ความจากนายพรานบุญว่า ครั้งหนึ่งออก ไปล่าเนื้อในป่าใกล้เชิงเขา ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งเจ็บลำบากหนีขึ้นไปบนไหล่เขา ซุกเข้าเชิงไม้หายไป พอบัดเดี๋ยวก็ เห็นเนื้อตัวนั้น วิ่งออกจากเชิงไม้เป็นปกติอย่างเก่า นายพรานบุญนึกประหลาดใจ จึงตามขึ้นไปดูสถานที่บน ไหล่เขา ที่เนื้อหนีขึ้นไป ก็พบรอยปรากฏอยู่ในศิลา มีลักษณะเหมือนรูป รอยเท้าคน ขนาดยาวประมาณ สักศอก เศษและในรอยนั้นมีน้ำขังอยู่ด้วย นายพรานบุญเข้าใจ ว่าบาดแผลของเนื้อตัวที่ถูกตนยิง คงหายเพราะดื่มน้ำ ในรอยนั้น จึงวักน้ำลองเอามาทาตัวดู บรรดาโรคผิวหนังคือ กลากเกลื้อน ซึ่งเป็นเรื้อรังมาช้านานแล้ว ก็หาย หมด สิ้นไป เจ้าเมืองสระบุรี จึงสอบสวนความจริงดู ก็ตรวจค้นพบรอยนั้น สมดังคำบอกเล่าของนายพรานบุญ จึงมีใบ บอกแจ้งเรื่องเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไป ณ ที่เขานั้น ทอด พระเนตรเห็นรอยนั้นแล้ว จึงทรงพระราชวิจารณ์ตระหนักแน่นพระราชหฤทัยว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาทเพราะ มีลายลักษณ์กงจักร ประกอบด้วยอัฏฐุตตรสตมหามงคลร้อยแปดประการ ตรงกับเรื่องทีชาวลังกา ทวีปแจ้งเข้ามา ด้วย เกิดพระราชศรัทธาปราโมทย์โสมนัสเป็นกำลัง โดยทรงพระราชดำริเห็นว่ารอยพระพุทธบาท ย่อมจัดเป็น บริโภคเจดีย์แท้ เพราะเป็นพุทธบทวลัญช์อันเนื่องมาแต่พระพุทธองค์ ย่อมประเสริฐยิ่งกว่าอุเทสิกเจดีย์ เช่น พระสถูปเจดีย์ สมควรจะยกย่องบูชาเป็นพระมหาเจดียสถาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างก่อเป็น คฤหหลัง น้อย สวมรอยพระพุทธบาทไว้เป็นการชั่วคราวก่อนแล้ว ครั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังราชธานี จึงทรง สถาปนายก ที่พระพุทธบาทขึ้นเป็นเจดียสถานเป็นการสำคัญ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมณฑป ยอดเดี่ยวสวม รอยพระพุทธบาทกำหนดเป็นพุทธเจดีย์ และสร้างอารามวัตถุอื่นๆ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ให้เป็นที่สำหรับ พระภิกษุอยู่แรม เพื่อทำการบริบาลพระพุทธบาท ทรงพระราชศรัทธาอุทิศเนื้อที่โยชน์หนึ่ง โดยรอบรอยพระพุทธ บาทถวายเป็นพุทธเกษตรต่างพุทธบูชา บรรดากัลปนาผล ซึ่งได้เป็นส่วนของหลวงจากเนื้อที่นั้นให้ ใช้จ่ายเป็น ค่าบำรุงรักษาพระมหาเจดียสถานที่พระพุทธบาท ทรงยกที่พุทธเกษตรส่วนนี้ให้เป็นเมืองชั้นจัตวา ชื่อเมือง ปรันตปะ แต่นามสามัญเรียกกันว่า เมืองพระพุทธบาท ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา โปรดเกล้าฯ ให้ชายฉกรรจ์ ทุกคนที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่พระพุทธบาทพ้นจากหน้าที่ราชการอย่างอื่นสิ้น ตั้งให้เป็นพวกขุนโขลนเป็น ข้าปฏิบัติบูชารักษาพระพุทธบาทแต่หน้าที่เดียว พระราชทานราชทินนามบรรดาศักดิ์ประจำตำแหน่ง ผู้รักษาการ พระพุทธบาท หัวหน้าเป็นที่ขุนสัจจพันธ์คีรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน รองลงมาเป็นที่ หมื่นสุวรรณปราสาท หมื่นแผ้วอากาศ หมื่นชินธาตุ หมื่นศรีสัปบุรุษ ทั้ง 4 คนนี้ เป็นผู้รักษาเฉพาะองค์พระมณฑป ตั้งนายทวารบาล ๔ นาย เป็นที่หมื่นราชบำนาญทมุนิน หมื่นอินทรรักษา หมื่นบูชาเจดีย์ หมื่นศรีพุทธบาล โปรดเกล้าฯ ให้สร้างคลังสำหรับเก็บวัตถุสิ่งของที่มีผู้นำมาถวายเป็นพุทธบูชา ให้ผู้รักษาคลังเป็นที่ขุนอินทรพิทักษ์ ขุนพรหมรักษา หมื่นพิทักษ์สมบัติ หมื่นพิทักษ์รักษา ให้มีผู้ประโคมยามประจำทั้งกลางวันกลางคืนเป็นพุทธบูชา ตั้งเป็นที่หมื่นสนั่นไพเราะ หมื่นเสนาะเวหา พันเสนาะ รองเสนาะ ทรงกำหนดเทศกาลสำหรับให้มหาชนขึ้นไป บูชารอยพระพุทธบาทเดือน 3 ครั้ง 1 และเดือน 4 ครั้ง 1เป็นประเพณีตั้งแต่นั้นมา


การเดินทางไปวัดพระพุทธบาท
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากถนนพหลโยธิน เมื่อถึงช่วงกิโลเมตรที่ 136 มีทางเลี้ยวซ้าย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3020) แล้วให้ตรงไป เพื่อเข้าวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
2. โดยสาธารณะ
ใช้บริการรถตู้ กรุงเทพ-ลพบุรี สามารถขึ้นได้ที่หมอชิต และอนุสาวรีย์ชัยโดยรถจะจอดที่ท่าพระบาท ปากทาง เข้าพระพุทธบาท หลังจากนั้นต่อรถสองแถว เข้าไปยัง วัดพระพุทธบาท รถออกตั้งแต่ 04.00 - 20.00 น. ขากลับข้ามฝั่งมาขึ้นได้ที่ท่าพระบาทเหมือนเดิม จะมีคิวรถตู้จอด อยู่ ของ บริษัท วัชรินทร์ ทัวร์ กรุ๊ป
โทร 089 901 7558,086 106 6158
 
     
ที่มา  http://www.paiduaykan.com/province/central/saraburi/watphrabuddhabat.html

        http://www.youtube.com/watch?v=pE0WzQ2H2R8

ทุ่งทานตะวัน


ทุ่งทานตะวัน จ.สระบุรี

                เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี ฤดูกาลท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี  ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็น อย่างมากจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด และในทุกปีจังหวัดสระบุรี จะจัด เทศกาลทุ่งทาน ตะวันบาน ในทุกปี สลับหมุนเวียนไปในแต่ละอำเภอ / พื้นที่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชื่นชม และถ่ายภาพ เป็นที่ระลึก ตลอดจนการ ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปลูกดอกทานตะวัน การนำเอาผลผลิตจาก เมล็ดทานตะวันไป ใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภครวมทั้งการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เมล็ดทานตะวันคั่วสด ๆ จากไร่ หรือหาซื้อน้ำผึ้งทานตะวันเป็นของฝากจังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ปลูกทานตะวันนับหลายหมื่นไร่ บริเวณเขตติดต่อ ระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมาก รวมทั้งในอีก หลายอำเภอของสระบุรี เช่น อำเภอพระพุทธบาทแก่งคอย หนองโดน หนองแคและมวกเหล็ก แต่ที่อำเภอ วังม่วงจะมีพื้นที่ปลูกมากที่สุด


                     นักท่องเที่ยวสามารถ วางแผนการเดินทางมาท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี ได้ตลอดเวลาเลือกชมได้ ในหลายๆ พื้นที่ โดยแต่ละแห่ง แต่ละ พื้นที่จะมีความสวยงามและกิจกรรมการจัดงานแตกต่างออกไป นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการขับรถชมทุ่งทานตะวันท่ามกลางบรรยากาศเนินเขา ทุ่งหญ้า ฟาร์มม้า โคนม และ ไร่องุ่น สามารถเลือกชมและท่องเที่ยวทุ่งทานตะวันได้ในพื้นท ี่อำเภอวังม่วง และมวกเหล็ก บรรยากาศการ ท่องเที่ยว ของสองอำเภอนี้เหมาะสำหรับท่องเที่ยวแบบครอบครัว ขับรถชมทิวทัศน์ ชมธรรมชาติ ท่ามกลาง สาย ลมหนาว ที่พัดผ่านที่ราบเชิงเขา ชมทุ่งทานตะวันถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พักผ่อนรีสอร์ตกับครอบครัวอย่างมีความสุข ทานตะวันจะบานสะพรั่งสวยงามในสองอำเภอนี้มากที่สุด ในช่วง ระหว่าง เดือนธันวาคมและมกราคม ในช่วง เวลาอื่นๆ จะมีบานสะพรั่งเป็นพื้นที่ๆ




                   เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี ฤดูกาลท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี  ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็น อย่างมากจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด และในทุกปีจังหวัดสระบุรีจะ จัด เทศกาลทุ่งทานตะวันบาน ในทุกปี สลับหมุนเวียนไปในแต่ละอำเภอ / พื้นที่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไป ชื่นชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ตลอดจนการ ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปลูกดอกทานตะวัน การนำเอาผลผลิตจาก เมล็ดทานตะวันไปใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภครวมทั้งการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เมล็ดทานตะวัน คั่วสด ๆ จากไร่ หรือหาซื้อน้ำผึ้งทานตะวันเป็นของฝากจังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ปลูกทานตะวันนับหลายหมื่นไร่ บริเวณ เขตติดต่อระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมาก รวมทั้งในอีกหลายอำเภอของสระบุรี เช่น อำเภอพระพุทธบาทแก่งคอย หนองโดน หนองแคและมวกเหล็ก แต่ที่อำเภอวังม่วงจะมีพื้นที่ปลูกมากที่สุด
                           สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการชมทุ่งทานตะวันในหุบเขาแบบแรลลี่ครอบครัว จะพบกับความงดงามของ ทุ่งทานตะวันเต็มหุบเขา ที่ตำบลหินซ้อน และตำบล ท่าคล้อ ของอำเภอแก่งคอย ทานตะวันจะบานสะพรั่งใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมมากที่สุด เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบแรลลี่ชมทุ่งทานตะวัน ในพื้นที่อำเภอ แก่งคอยนี้ทุ่งทานตะวันจะบานสะพรั่งมากที่สุดกว่า 20,000 ไร่ ในหลายตำบล นักท่องเที่ยวที่ต้องการ นั่งรถไฟ ผ่านทุ่งทานตะวันต้องนั่งรถไฟ สายกรุงเทพฯ-หนองคาย เมื่อเดินทางเข้าพื้นที่ตำบบลท่าคล้อ หินซ้อน ของอำเภอแก่งคอยตลอดแนวสองข้างทางรถไฟ จะพบกับทุงทานตะวัน เหลืองอร่ามท่ามกลางสายลมหนาวพัด เย็นสบาย หากจะนั่งรถไฟผ่าน ทุ่งทานตะวัน
             
            ขอแนะนำให้นั่งรถช่วงระหว่างกลางเดือนธันวาคม ถึงปลายเดือน จะไม่ผิดหวัง
พื้นที่จังหวัดสระบุรีที่มีการปลูกทุ่งทานตะวัน
- ต.เขาดินพัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ
- ต.นายาว อ.พระพุทธบาท
- ต.หินซ้อน อ.แก่งคอย
- ต.แสลงพัน อ.วังม่วง
- ต.บ้านกล้วย อ.หนองโดน
- ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก
                      สามารถดูตารางการเที่ยวชมทุ่งทานตะวันตามสถานที่ต่าง ๆในแต่ละปี ได้ที่เว็บไซต์จังหวัดสระบุรี
นอกจากการเที่ยวชมทุ่งทานตะวันแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท พระพุทธฉาย การเที่ยวชมถ้ำหรือน้ำตก การเยี่ยมชมไร่องุ่น และการจิบไวน์ ลิ้มลองสเต็กเนื้อนุ่ม เป็นต้น;ตาเส้นทาง ดังนี้ เส้นทางที่ 1 กรุงเทพฯ - สระบุรี - ไหว้พระพุทธรูปทองคำ ณ วัดพะเยาว์ - ทุ่งทานตะวัน ( อ.เฉลิมพระเกียรติ ,
อ. พระพุทธบาท ) - นมัสการรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทฯ - ฟาร์มผึ้ง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี – แวะเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
เส้นทางที่ 2 กรุงเทพฯ - สระบุรี - ทุ่งทานตะวัน ( อ.แก่งคอย, อ.มวกเหล็ก, อ.วังม่วง ) - ไร่องุ่น - อุโมงค์ต้นไม้ - เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ - ฟาร์มผึ้ง





         

การเตรียมตัวเที่ยวทุ่งทานตะวันให้สนุก 
1. เตรียมกล้องถ่ายรูปไปถ่ายรูปสวย ๆ กับดอกทานตะวัน
2. เที่ยวทุ่งทานตะวันควรไปตอนเช้าจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด เพราะทานตะวันจะชูช่อรับ พระอาทิตย์ขึ้น หงายหน้า ช่วงเที่ยง และคอตกไปกับดวงอาทิตย์ทุกวัน 3. ทุ่งทานตะวันแต่ละทุ่งมีอายุบานประมาณ 15 วัน เพราะฉะนั้น ควรสอบถามข้อมูลทุ่งทานตะวันบานที่ อบต.แสลงพันอ.วังม่วง จ.สระบุรี โทร.036 364 443
การเดินทางไปทุ่งทานตะวัน จ.สระบุรี
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
ทุ่งทานตะวัน ( อ.แก่งคอย, อ.มวกเหล็ก, อ.วังม่วง)
จากกรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี เข้า อ.มวกเหล็กหรือถ้าใคร ชอบทิวทัศน์ ที่ เป็นภูเขาสลับซับซ้อนก็ใช้เส้นทางเลี้ยวซ้ายเข้าแก่งคอยแล้วค่อยออกไปตามทางไป เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็ได้ จาก เส้นทาง อ.มวกเหล็ก ให้ขับรถไปเรื่อย ๆ ตามป้ายบอกทางไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เส้นทางนี้จะผ่านเส้นทางที่ เป็นอุโมงก์์ต้นไม้ และเนินมหัศจรรย์ ผ่านอุโมงก์ต้นไม้และเนินมหัศจรรย์ก็จะพบกับทุ่งทานตะวัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขับรถกินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ จะเจอป้ายบอกทางไปทุ่งทานตะวัน อ.วังม่วง และหลังจากเที่ยวทุ่งดอกไม้งามแล้ว ย้อนกลับ ็ทางเดิม สามารถไปเที่ยวชมเขื่อนป่าสัก ฯ ได้อีก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทุ่งทานตะวันมากนัก หลังจากเที่ยว ทุ่งทานตะวันแล้วก็กลับมาทางมวกเหล็กแวะเที่ยวชมไร่องุ่นได้อีกด้วย       
  2 เส้นทางรถไฟ โดยจะมีรถไฟออกเดินทางจาก สถานีรถไฟหัวลำโพงทุกวัน ซึ่งสามารถ
สอบถามข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยการโทร 1690 โดยขบวนรถไฟจะวิ่งผ่านอ่างเก็บน้ำของ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์บางขบวนจะจอดที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพื่อให้ผู้โดยสารได้แวะถ่ายภาพอีกด้วย 



ทุ่งทานตะวันเส้นสระบุรี ถึง ลพบุรี
จาก กรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี จนถึงแยกพุแค เลี้ยวซ้ายตามทางหลวง หมายเลข 21 (ทางไปเพชรบูรณ์) ไปจนถึงสี่แยกพัฒนานิคม ซึ่งจะตัดกับทางหลวงหมายเลข 3017 ลพบุรี - วังม่วง เส้นทางสายนี้ตลอดสองข้างทางจะเหลืออร่ามไปด้วยทุ่งทานตะวัน และยังรวมถึงบริเวณวัดเขาจีนแล อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก และเส้นทางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ



           
          

น้ำตกเจ็ดสาวน้อย


น้ำตกเจ็ดสาวน้อย


                 น้ำตกเจ็ดสาวน้อย เป็นน้ำตกชั้นเตี้ยๆ จำนวน 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงตั้งแต่ 2-5 เมตร สายน้ำไหลลดหลั่นเป็น ธารน้ำตกกว้างคล้ายแก่งขนาดใหญ่ มีอ่างน้ำตื้นๆ หลายแห่งที่สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำตกชั้นที่สวยงาม ที่สุด คือชั้นที่ 4 ช่วงที่สวยงามที่สุดของน้ำตกจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน – เมษายน เพราะน้ำใสและ ยังปลอดภัย แก่ผู้ลงเล่นน้ำเนื่องจากน้ำไม่เชี่ยวเหมือนในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

                  น้ำตกเจ็ดสาวน้อย มีต้นกำเนิดมาจาก ลำห้วยมวกเหล็ก เป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี ตลอดสายน้ำที่ ไหลผ่านในพื้นที่มีระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร มีเกาะแก่งที่ไม่สูงมากนักลดหลั่นกันไป






                       ขอบคุณภาพน้ำตกเจ็ดสาวน้อยจากคุณใหญ่ http://yyii4949.multiply.com


ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
                         อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อยไม่มีบ้านพักให้บริการ หากมีความประสงค์จะเดินทางไป พักแรมเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ หรือศึกษาหาความรู้ทางธรรมชาติ โปรดนำเต็นท์ไปกางเอง สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
สถานที่ติดต่อ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย
หมู่ 9 บ้านแก่งหลุ ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 18180
โทรศัพท์ 0 3634 4416 โทรสาร 0 3634 4416 อีเมล reserve@dnp.go.th
การเดินทางไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อย
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว 
จังหวัดสระบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ตามถนนพหลโยธิน ระยะทาง 108 กิโลเมตร และตามทางรถไฟ สายตะวัน ออกเฉียงเหนือระยะทาง 113 กิโลเมตร จากตัวเมืองสระบุรีโดยใช้เส้นทางสายหลัก คือ ถนนมิตรภาพ ผ่าน อำเภอแก่งคอยไปมวกเหล็ก ระยะทางจากตัวเมืองสระบุรี ถึงทางแยกเข้าสู่ทางหลวงสายมวกเหล็ก-หนองย่างเสือ ระยะทาง 41 กิโลเมตร จากทางแยกเข้าสู่อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อยระยะทาง 12 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ด้าน ขวาตรงข้ามวัดน้ำตกเจ็ดสาวน้อย
2. รถโดยสารประจำทาง 
การเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางเส้นทางกรุงเทพ-สระบุรี หรือกรุงเทพฯ – ลพบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง รถจะไปจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่งสระบุรี จากนั้นนั่งรถโดยสารสระบุรี-แก่งคอย – มวกเหล็ก ใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที รถจะไปจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าอุทยานแห่งชาติ หรือโดยสารรถ โดยสารเส้นทาง กรุงเทพ-นครราชสีมา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ลงที่ตลาด อ.ส.ค. จากนั้นต่อรถโดยสาร ประจำทาง สายสระบุรี-แก่งคอย-มวกเหล็ก ไปลงหน้าอุทยานแห่งชาติ
3.รถไฟ
การเดินทางโดยรถไฟ ต้องนั่งรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ รถจะจอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานีสระบุรี สถานีแก่งคอย และสถานีมวกเหล็ก จากนั้นต่อรถโดยสารประจำทาง สายสระบุรี – แก่งคอย-มวกเหล็ก ไปลงหน้าอุทยานแห่งชาติ




ที่มา  http://www.youtube.com/watch?v=LHIFqMqyhIE
  http://www.paiduaykan.com/76_province/central/saraburi/jedsaonoi-waterfall.html
       

แก่งหินงามสามพันโบก



แกรนด์แคนย่อยเมืองสยาม คือแก่งหินงามสามพันโบก



                นายเรืองประทิน  เขียวสด  ครูโรงเรียนบ้านสองคอน  ซึ่งเป็นในผู้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในบริเวณดังกล่าว  ระบุว่า  สามพันโบก  ถือว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในลำน้ำโขงเท่าที่ทราบกันมา  ซึ่งในบริเวณเดียวกัน  มีสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า  แกรนแคนยอนน้ำโขง  อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำหลายพันปี  เป็นร่องน้ำขนาดใหญ่  สูงประมาณ  3-7  เมตร  กว้างประมาณ  20  เมตร

                แก่งหินสามพันโบก เป็นกลุ่มหินทรายแนวเทือกเขาภูพานตอนปลายที่ทอดตัวยาวริมฝั่งโขงไทยและลาว  สายน้ำแคบและเป็นคุ้งน้ำ  ณ เส้นรุ้งที่ N.15 องศา 47.472 ลิปดา และเส้นแวงที่ E.105 องศา  23.983 ลิปดา ริมฝั่งโขงบริเวณนี้เป็นกลุ่มหินที่เรียงตัวทอดยาว เป็นสันดอนขนาดใหญ่พื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ผาหินบริเวณโค้งด้านหน้ารับแรงน้ำที่ไหลจากตอนบน  ก่อเกิดประติมากรรมธรรมชาติที่งดงาม

                จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โบก อันเกิดจากกระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน  ทราย  และเศษไม้  กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่ง  มีขนาดเล็กๆจนถึงขนาดใหญ่จำนวนมากมาย หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปหัวใจ รูปมิกกี้เมาส์จากโบกจำนวนมากมาย   จนสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า  สามพันโบก

                แก่งสามพันโบก  เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก  ประมาณเดือนกรกฏาคม – เดือนตุลาคม  และโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้  ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มิถุนายน ทุกปี

เปิดตำนานสามพันโบก



                จากประติมากรรมหินทรายที่มีรูปร่างดงามแปลกตา ก่อเกิดตำนานเรื่องเล่าตำนานพญานาคชุดแม่น้ำโขง  ทุ่งหินเหลื่อม  หินหัวสุนัข  และปู่จกปู

                ตำนานหินหัวสุนัข   ทางเข้าของแกรนด์แคนยอนแม่น้ำโขง  มีหินสวยงามลักษณะคล้ายหัวสุนัข  ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันต่างๆ นานา  บ้างก็ว่า แต่ก่อนมีเจ้าเมืองเป็นผู้เรืองอำนาจประทับใจความงามของสามพันโบก  จึงได้ส่งเสนามาศึกษาเพิ่มเติม  เมื่อมาแล้วพบขุมทรัพย์เป็นทองคำ  จึงให้สุนัข เฝ้าทางเข้าจนกว่าเจ้าเมืองจะออกมา  เมื่อเจ้าเมืองได้เห็นสมบัติเกิดความโลภ  กลัวเสนาจะได้ส่วนแบ่งจึงได้ออกไปทางอื่น  สุนัขผู้ภักดีก็เฝ้ารออยู่ตรงนั้นจนตายในที่สุด  บางตำนานก็ว่าลูกพญานาคในลำน้ำโขงเป็นผู้ขุดเพื่อให้เกิดลำน้ำอีกสายหนึ่งและได้มอบหมายให้สุนัขเป็นผู้เฝ้าทางระหว่างการขุดจนกระทั่งสุนัขได้ตายลงกลายเป็นหินรูปสุนัขในที่สุด

                ตำนานหาดหินสี  หรือทุ่งหินเหลื่อม  ทุ่งหินเหลื่อมอยู่ในพื้นที่บ้านคำจ้าว  ตำบลเหล่างาม  อำเภอโพธิ์ไทร  เป็นกลุ่มหินสีที่มีลักษณะแปลกตา  คือหินแต่ละก้อน  จะมีผิวเรียบเป็นมันประกอบด้วยสีเหลือง เขียว ม่วง น้ำเงิน  มีขนาดตั้งแต่ก้อนเล็กเท่ากำปั้นและก้อนใหญ่สุดมีขนาดใหญ่กว่า 3 เมตร  กระจายเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มใหญ่  หินแต่ละก้อนถ้านำมาเรียงต่อกันจะเชื่อมกันได้สนิทคล้ายจิ๊กซอว์หินสี  จากตำนานชาวบ้านที่เล่าขานต่อกันว่ากลุ่มหินสีดังกล่าวคือทองคำพญานาค  ซึ่งเกิดจากการขุดสร้างแม่น้ำโขงของพญานาคตัวพ่อและตัวแม่  ส่วนร่องน้ำเล็กที่คู่ขนานกับแม่น้ำโขงเป็นผลงานของลูกพญานาคที่ขุดเล่น  จนเกือบทะลุกับแม่น้ำโขง  ลูกพญานาคพบหินเหมือนทองคำ  จึงขุดขึ้นกองไว้เป็นบริเวณกว้างประมาณ 2 ไร่

                ทุ่งหินเหลื่อม  ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาศึกษาอย่างเป็นทางการ  จึงมีคำถามที่รอคำตอบมากมาย  ว่าหินกลุ่มนี้มากจากไหน หรือเกิดขึ้นอย่างไร  และคำตอบจากนักท่องเที่ยวทุกคนคือ  ความมหัศจรรย์ของธรรมชาตินั่นเอง

                ตำนานปู่จกปู  หลุมโบกที่เกิดขึ้นมากมาย  ก่อเกิดเรื่องเล่า  ปู่พาหลานมาจับปาบริเวณถ้างต้อน  (ต้อนเป็นเครื่องมือดักปลาของคนอีสาน)  บังเอิญไม่สามารถจับปลาได้จึงใช้มือล้วงปูหินริมน้ำโขงจนเกิดโบกจำนวนมาก

                สามพันโบกในอดีต   เป็นแหล่งที่ชาวบ้านมาจับปลาในหน้าแล้งตามหลุมแอ่ง  โบก และสระบุ่ง  เนื่องจากลุ่มแอ่งจำนวนมากมายเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดจำนวนมากที่ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงใช้สำหรับการดำรงชีพ

                สามพันโบกเริ่มเป็นที่รู้จัก  และปรากฏสู่สายตานักท่องเที่ยว  เมื่อนายเรืองประทิน  เขียวสด   ครูโรงเรียนบ้านสองคอน  ผู้บุกเบิกได้พบความงามของสามพันโบก  จึงได้ชวน  นายสมชาติ  เบญจถาวรอนันท์  เว็บมาสเตอร์ไกด์อุบลดอทคอม  นายชาย  บุดดีวัน  ผู้ใหญ่บ้านโป่งเป้าและ อบต.เหล่างาม  จัดกิจกรรม  แคมปิ้ง  เพื่อการประชาสัมพันธ์  ผ่านสื่อเว็บไซต์  ชุดกิจกรรมนอนกลางโขงชมทะเลดาว  เมื่อเดือน 15-16 ธันวาคม 2549  ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนชอบท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  สำนักงานอุบลราชธานี  เขต 2 (ปัจจุบันเป็น ททท.สำนักงานอุบลราชธานี)  ได้นำแหล่งท่องเที่ยวนี้  เข้าในกิจกรรมท่องเที่ยวแม่น้ำโขงรับตะวันใหม่ก่อนใครในสยามมาตลอด

                สามพันโบกได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อโฆษณาของ ท.ท.ท. ชุด เที่ยวไทยครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคัก  เริ่มออกฉายภาพ  สถานที่ท่องเที่ยวซึงเป็นฉากจบของโฆษณาชุดนี้จึงกลายเป็นคำถามว่า  ที่ไหนกัน  เมืองไทยมีที่แห่งนี้ด้วยหรือ นับตั้งแต่นั้นมา  แก่งสามพันโบก  จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่  ที่กำลังเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวติดอันดับประดับประเทศ

การเที่ยวสามพันโบก 

                การเดินทางไปเที่ยวชมสามพันโบก อยู่ห่างจากจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 120 กม. ตามทางหลวงอุบล - ตระการ - โพธิ์ไทร  ทำได้ 2 ทางคือ

1. เดินทางท่องเที่ยวทางเรือ   ไปยังแก่งสามพันโบก  นิยมนั่งเรือจากหาดสลึงที่บ้านปากกะกลาง  ต.สองคอน  ล่องตามลำน้ำโขงระยะทาง 4 กิโลเมตร  ระกว่างทางจะผ่าน “ปากบ้อง” จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขง  หาดสลึง หินหัวพะเนียง  เป็นแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย  หรือสองคอนในภาษาท้องถิ่น  จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านสองคอนและสามพันโบก  ศิลาเลข  หาดหงส์ รายละเอียดเส้นทางเที่ยวทางเรือ

                ปากบ้อง  เป็นจุดชมวิวที่หมู่บ้านสองคอน  ตำบลสองคอน  อำเภอโพธิ์ไทร  จังหวัดอุบลราชธานี  เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลพาดปะทะแนวเทือกเขาภูพานตอนปลาย การปะทะกันของพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่  ก่อให้เกิดภูมิประเทศที่มหัศจรรย์มากมาย  ซึ่งจะสัมผัสได้ยามที่แม่น้ำโขงลดระดับลงได้ที่ในยามฤดูแล้งราวเดือนพฤศจิกายน -  มิถุนายน  ตลอดระยะทางที่ไหลผ่านประเทศไทย  ยาวกว่า 700 กิโลเมตร  เป็นจุดที่แม่น้ำโขง  แคบที่สุด  “ปากบ้อง” เป็นหน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายเปลือกโลก  ลักษณะเหมือนคอขวด  ส่วนที่แคบที่สุดวัดได้ 56 เมตร

                หินหัวพะเนียง  อยู่ในพื้นที่หมู่บ้านสองคอน  ตำบลสองคอน  อำเภอโพธิ์ไทย จังหวัดอุบลราชธานี  ลักษณะทางภูมิศาสตร์  เป็น เกาะหินขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขงรูปร่างคล้ายอุปกรณ์ประกอบคันไถ  อยู่ถัดจากบริเวณปากบ้องขึ้นไปทางเหนือประมาณ 500 เมตร  เกาะหินใหญ่โผล่ขวางกลางลำน้ำโขง  หินหัวพะเนียง  มีรูปร่างคล้ายใบไถไม้ (ในภาษาถิ่น พะเนียงคือแท่นไม้ที่ใช้สวมใบไถเหล็ก)  ชาวบ้านจึงเรียกว่า  หินหัวพะเนียง  แต่ลักษณะหินในบริเวณนี้บางกลุ่มจะเป็นช่อแหลมคม  ซึ่งเกิดจากการปะทุขึ้นมาของหินทรายร้อนคล้ายหินภูเขาไฟ  แต่ไม่ใช่แมกมาหรือลาวา  เมื่อปะทุขึ้นมาปะทะกับกระแสน้ำเย็นจึงแข็งตัวกลายเป็นหินที่มีลักษณะเป็นช่อเรียกว่า “หินหัวพะเนียง” เป็นเกาะกลางแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย





                แก่งสองคอน   เกิดจากการเกาะหินหัวพะเนียงกลางลำน้ำโขงซึ่งเป็นเกาะหินขนาดใหญ่รูปลักษณ์แปลกตาที่ขนาบข้างด้วย 2 แก่งน้ำโขง  ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสายหรือสองคอน (ในภาษาถิ่นคอนแปลว่าแก่ง) จึงเป็นที่มาของชื่อ บ้านสองคอน

                หาดสลึง  เป็นหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำมูล  ตั้งอยู่บ้านสองคอน  ตำบลสองคอน  อำเภอโพธิ์ไทร  ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 115 กิโลเมตร  ตามทางหลวงหมายเลข 2050 (อุบลฯ – ตระการพืชผล – โพธิ์ไทร)  ในฤดูแล้ง  ประมาณมกราคม – มิถุนายน เมื่อน้ำในแม่น้ำโขงลดระดับลง  จะมีหาดทรายที่สวยงาม  เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง  จากตำนานเชื่อกันว่า  ชื่อหาดสลึง  เกิดจากการที่คนมาเล่นน้ำช่วงสงกรานต์นานมาแล้ว  ในสมัยที่ใช้เหรียญสลึง 1 สลึงสมัยนั้น  มีค่าสามารถซื้อควายได้ 1 ตัว  ตามนิสัยของคนไทยบางคนเมื่อมารวมกันมาก  มักจะมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ  ผู้ที่มาเล่นน้ำที่หาดแห่งนี้ได้ตั้งคำท้าทายความสามารถโดยมีเดิมพันว่า  ณ  กลางเดือนเมษายน เวลาเที่ยงวันถ้าใครสามารถเดินหรือวิ่งบนหาดได้ตลอดแนว (ยาว 860 เมตร) โดยไม่แวะพักระหว่างวิ่ง  จะได้รับเงินเดิมพัน 1 สลึง  นับตั้งแต่มีการเดิมพันมาไม่เคยมีใครได้รับรางวัลนี้เลย  ชาวบ้านจึงขนานนามหาดแห่งนี้ว่า “หาดสลึง”



                การตักปลาที่บ้านสองคอน  ชาวบ้านสองคอนยังมีงานประเพณีที่น่าสนใจ  คือประเพณี ตักปลาในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่นตั้งใจมาดูเป็นพิเศษ  คือการ “ตักปลา” หน้าปากบ้อง  เพราะเป็นการจับปลาที่แปลกประหลาดกว่าที่อื่นๆ  ไม่ต้องใช้เหยื่อตกเบ็ดหรือทอดแห  แต่ใช้สวิงขนาดใหญ่ด้ามยาวคล้ายสวิงจับแมลงขนาดใหญ่คอยตักปลาที่วายจากเวินน้ำกว้างจะแหวกว่ายผ่านปากบ้องทวนกระแสน้ำเพื่อขึ้นไปวางไข่ได้ร่วมกันจัดงาน  “เทศกาลตักปลา”  ช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์  ของทุกปี  มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก  การท่องเที่ยวทางน้ำในช่วงเวลานี้นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเที่ยวเพื่อชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตพื้นบ้าน ชมการประมงแบบดั้งเดิมที่น่าสนใจ  ณ  ตำบลสองคอนและตำบลเหล่างาม  อำเภอโพธิ์ไทร  จังหวัดอุบลราชธานี




                หินหัวพะเนียง   อยู่ถัดจากบริเวณปากบ้องขึ้นไปทางเหนือ  มีแก่งใหญ่ขวางกลางลำน้ำโขง  ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย  หรือสองคอนในภาษาท้องถิ่นจึงเป็นที่มาของชื่อ บ้านสองคอน  และในบริเวณใกล้เคียงยังมีถ้ำที่มีความสวยงามในลำน้ำโขงประกอบด้วย  ถ้ำนางต่ำหูกหาดหินสี, แก่งสองคอน, ภูเขาหิน  และหาดแห่

                ผาหินศิลาเลข   ร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยฝรั่งเศสเรืองอำนาจ ในแถบอินโดจีน  ฝรั่งเศสได้นำเรือกลจักรไอน้ำขนส่งสินค้าระหว่าง หลี่ผี  เวียงจันทน์อยู่ก่อนถึงหาดหงส์  ที่ฝรั่งเศสแกะสลักตัวเลขที่หน้าผาหิน  สำหรับบอกระดับน้ำในแม่น้ำโขง  เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ  เนื่องจากหน้าที่น้ำหลากบริเวณนี้จะมีแนวหินโสโครกจำนวนมาก

                หาดหงส์  เนินทรายแม่น้ำโขงขนาดมหึมาเกิดจากการพัดพาของน้ำและนำตะกอนทรายมาทับถมกันจนลักษณะพื้นที่เป็นพื้นทรายกว้างใหญ่  มีลักษณะคล้ายกับทะเลทรายที่กว้างใหญ่  ช่วงเวลาที่นิยมมาเที่ยวหาดหงส์จะเป็นช่วงเวลาในยามบ่ายแก่ๆ  ช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า  ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่สวยงามมาก  เพราะแสงทองของดวงอาทิตย์จะกระทบกับทรายสีขาวระยิบระยับสวยงามยิ่งนัก

2. ขับรถเที่ยว  คือ หากต้องการไปชมสามพันโบกอย่างเดียวก็สามารถขับรถไปที่นั่นเพื่อชมความงามได้เลย  เพราะที่สามพันโบกรถสามารถเข้าไปจอดที่นั่นได้เลย

          สามพันโบก เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง เนื่องจากในช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินดังกล่าวจะจมอยู่ใต้บาดาล  และด้วยแรงน้ำวนกัดเซาะ  ทำให้แก่งหินกลายเป็นแอ่งเล็ก  ใหญ่ จำนวนมากกว่า 3,000  แอ่ง หรือ  3 พันโบก  โบก หรือแอ่ง หมายถึง บ่อน้ำลึกในแก่งหินใต้ลำน้ำโขง  และคำว่า “โบก” เป็นภาษาของลาวที่มักนิยมเรียกกัน และ สามพันโบก  กลายเป็นที่เพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืด ในลำน้ำโขงตามธรรมชาติ   แหล่งใหญ่ที่สุด  รักษาระบบนิเวศน์และการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำในลำน้ำโขงให้อยุ่ได้อย่างสมดุล

          สำหรับในช่วงหน้าแล้ง  สามพันโบก  จะโผล่พ้นน้ำให้เห็นเป็นคล้ายภูเขากลางลำน้ำโขง  ความสวยงามวิจิตรของหินที่ถูกน้ำเซาะมองเห็นเป็นภาพศิลปะ  บางแห่งใหญ่ขนาดเป็นสระว่ายน้ำ  บางแอ่งขนาดเล็ก  มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไปเช่น  รูปดาว  วงรี  และหินที่ถูกน้ำกัดเซาะจนดูคล้ายรูปหัวสุนัขพุดเดิ้ล  มีความสวยงาม

ที่มา  http://www.youtube.com/watch?v=wnuKEZlidVw
     
        http://guideubon.com/news/view.php?t=37&s_id=14&d_id=14

อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร



อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร


   อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาพระวิหาร มีเนื้อที่ประมาณ 130 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัดคือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และกิ่งอำเภอน้ำขุ่น กับอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2541 สภาพภูมิประเทศทั่วไปส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาตามแนวทิวเขาพนมดงรักกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ปกคลุมด้วยป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมากที่อาศัยหากินข้ามไปมาในผืนป่าระหว่างสองประเทศได้แก่ หมูป่า กวาง เก้ง กระต่าย กระรอก ชะนี ชะมด เป็นต้น อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารยังมีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจ ดังนี้



                     

   ผามออีแดง ตั้งอยู่ที่ชายแดนไทย กัมพูชา เป็นหน้าผาหินสีแดงที่มีทัศนียภาพกว้างไกลสุดตาและจากจุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหารได้ นับเป็นจุดชมวิวในมุมสูงที่สวยงามแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
ภาพสลักนูนต่ำ อยู่ทางทิศใต้ของผามออีแดง มีบันไดให้ลงไปชมได้สะดวก เป็นภาพเทพสามองค์ เชื่อว่าเป็นที่ซ้อมมือของช่างในการแกะสลักก่อนเริ่มการแกะสลักจริงที่ปราสาทเขาพระวิหาร
สถูปคู่ ชาวบ้านเรียกว่าพระธาตุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของผามออีแดง ตัวสถูปทำจากหินทรายตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ด้านบนกลมมนตั้งอยู่คู่กัน ข้างในเป็นโพรงบรรจุสิ่งของ เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของสมัยนั้น
  
สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 อยู่บริเวณบ้านภูมิซรอล เป็นปราสาทหินแบบขอม ตั้งอยู่ในเขตประเทศไทยห่างจากหน้าผาชายแดนไทย-กัมพูชา ประมาณ 300 เมตร มีตำนานเล่าว่านามนมใหญ๋ (เนียงเดาะทม) ได้แวะพักที่แห่งนี้ในขณะที่เดินทางไปเฝ้ากษัตริย์พระองค์หนึ่ง
น้ำตกและถ้ำขุนศรี น้ำตกอยู่เหนือถ้ำขุนศรีสูง 3 ชั้น ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของสระตราวใกล้เส้นทางเดินขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร ส่วนถ้ำขุนศรีภายในมีขนาดกว้างเชื่อกันว่าเป็นที่พักของขุนศรี ขณะมาควบคุมการตัดหินบริเวณสระตราวเพื่อใช้สร้างปราสาทเขาพระวิหาร
เขื่อนห้วยขนุน เป็นอ่างเก็บน้ำชลประทานและเป็นที่ตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เขื่อนห้วยขนุน ห่างจากที่ทำการอุทยานฯประมาณ 15 กิโลเมตร มีทิวทัศน์สวยงามเหมาะแก่การ พักผ่อนเที่ยวชมธรรมชาติ และเข้าค่ายกางเต็นท์พักแรม
เส้นทางศึกษาธรรมชาติกล้วยไม้เขาพระวิหาร ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีกล้วยไม้หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีพืชสมุนไพรมากมายเหมาะแก่การศึกษาหาความรู้
   ช่องอานม้า เป็นจุดผ่อนปรนในการค้าขายและผ่านแดนระหว่างไทย-กัมพูชา อยู่ที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เปิดเฉพาะวันอังคารและวันพฤหัสบดี
   การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ถึงสระบุรีเลี้ยวขวาสู่ทางหลวง หมายเลข 2 (มิตรภาพ) ก่อนถึงอำเภอสีคิ้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 24 ผ่านอำเภอปักธงชัย อำเภอสังขะ และอำเภอขุขันธ์ ถึงสี่แยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 221 เลี้ยวขวาเข้าสู่อำเภอกันทรลักษ์ แล้วต่อไปยังที่ทำการอุทยานฯ หรือ จากจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2178 และ 221 ผ่านอำเภอวารินชำราบ อำเภอสำโรง อำเภอ เบญจลักษ์ และอำเภอกันทรลักษ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่พักและสถานที่กางเต็นท์ได้ที่ศูนย์บริการ นักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร 0 9522 4265 หรือ ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. 0 2579 7223 , 0 2579 5734


 


  ปราสาทเขาพระวิหาร อยู่ห่างจากอำเภอกันทรลักษ์ ประมาณ 35 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักในเขตประเทศกัมพูชา บริเวณที่ติดกับผามออีแดงของประเทศไทย ตัวปราสาทหันหน้ามาทางด้านที่ติดกับประเทศไทย ปราสาทเขาพระวิหารเดิมอยู่ในความ ปกครองดูแลของไทย กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2483 และหลังจากการตัดสินของศาลโลก ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เป็นต้นมาได้เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของประเทศกัมพูชาสืบมาจนถึงปัจจุบัน สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเปิดให้เข้าชมปราสาทเขาพระวิหารได้ที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ โทร. 0 4561 2545
การเข้าชมปราสาทเขาพระวิหาร นักท่องเที่ยวสามารถสามารถเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารที่อยู่ในเขตแดนไทย โดยคนไทยเสียค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานคนละ 20 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท และ ค่าผ่านแดนออกนอกประเทศคนละ 5 บาท เมื่อจะเข้าชมปราสาทเขาพระวิหาร กัมพูชาเก็บค่าธรรมเนียมชาวไทยคนละ 50 บาท ชาวต่างประเทศคนละ 200 บาท
   น้ำตกภูละออ เป็นน้ำตกขนาดเล็กจะสวยงามในช่วงเดือนกันยายน-กุมภาพันธ์ ทางเดินท้าวจากบริเวณลานจอดรถถึงน้ำตกในระยะทางไป-กลับประมาณ 4 กิโลเมตร ได้รับ การพัฒนาให้เป็นเส้นทางที่ให้ความรู้เรื่องพืชพันธุ์และสภาพภูมิประเทศ ซึ่งเหมาะแก่ การท่องเที่ยวในลักษณะเดินป่าศึกษาธรรมชาติ


    



เทศกาลและงานประเพณี
   งานเทศกาลดอกลำดวน จัดขึ้นเป็นประจำระหว่างวันที่ 15–17 มีนาคมของทุกปี ณ สวนสมเด็จศรีนครินทร์ เป็นช่วงที่ดอกลำดวนในสวนกำลังบาน ภายในงานประกอบด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านสี่เผ่า คือ เขมร ส่วย ลาว เยอ การออกร้านจำหน่ายสินค้าหัตถกรรม สินค้าพื้นเมือง การแสดงละครประกอบแสงเสียงตำนานการสร้างเมือง
   งานเทศกาลเงาะทุเรียนศรีสะเกษ จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ หรืออำเภอขุนหาญ โดยจะจัดสลับกันแห่งละปี ภายในจะมีกิจกรรมมากมาย เช่น การออกร้านจำหน่ายพืชผักผลไม้ศรีสะเกษนานาชนิด เช่น เงาะ ทุเรียน ลองกอง มังคุด สะตอ ยางพารา เป็นต้น การจัดขบวนแห่รถประดับด้วยผลไม้ การจัดนิทรรศการทางวิชาการ และการจัดกิจกรรมคาราวานชมสวนชิมผลไม้ศรีสะเกษ
   การแข่งขันวิ่งฮาล์ฟและควอเตอร์มาราธอนสู่ผามออีแดง จัดขึ้นในวันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคมของทุกปี บนเส้นทางขึ้นสู่เขาพระวิหาร ระหว่างหมู่บ้านภูมิซรอล-ผามออีแดง อำเภอกันทรลักษ์ เนื่องจากเป็นเส้นทางขึ้นเขาสู่ชายแดนที่ต้องวิ่งฝ่าสายหมอกในช่วงปลายฤดูฝน จึงนับเป็นเส้นทางที่ท้าทายและเป็นสนามประลองกำลังที่นักกีฬาวิ่งมาราธอนให้ความสนใจมากอีกแห่งหนึ่ง
   สินค้าที่ระลึก ได้แก่ ผ้าไหม และผ้าฝ้ายลายขิต ทอกันมากที่อำเภอบึงบูรพ์และอุทุมพรพิสัย สินค้าหัตถกรรม เช่น ครุน้อย เกวียนน้อย รวมทั้งตะกรัาและกระเป๋าจักสาน ซึ่งทำด้วยฝีมืออันประณีต หาซื้อได้บริเวณถนนราชการรถไฟ นอกจากนี้ยังมีสินค้าประเภทอาหาร เช่น ไข่เค็มอำเภอไพรบึง หอมแดง กระเทียม และกระเทียมโทนดองน้ำผึ้งคุณภาพดี ที่หาซื้อได้ทั่วไป

   ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=5thrvROprBM&feature=relmfu
       
           http://www.oceansmile.com/E/Srisaket/srisaket4.htm